วันเบาหวานโลก

สุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน ห่างไกลจากเบาหวาน

ในปัจจุบันที่การทำงานกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การรักษาสมดุลระหว่างหน้าที่การงานกับการมีสุขภาพที่ดี จึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคเบาหวานที่มักจะพบได้บ่อยจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งโรคเบาหวานยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน คุณภาพชีวิต และอนาคตของทุกคนอีกด้วย เนื่องในวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) ซึ่งในปีนี้มาภายใต้หัวข้อ “Diabetes & Well-being in the Workplace – ทำงานสุข ลดทุกความเสี่ยง สุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน” ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะหันมาทบทวนและสร้างความตระหนักรู้ร่วมกันถึงภัยเงียบนี้ บทความนี้จึงขอพาผู้อ่านทุกคนร่วมสำรวจและศึกษาแนวทางการลดความเสี่ยงจากโรคเบาหวานสอดคล้องกับหัวข้อวันเบาหวานโลกเพราะสุขภาพที่ดีต้องเริ่มต้นจากที่ทำงาน

 

 

 

แล้วโรคเบาหวานคืออะไร?

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินค่าปกติ เนื่องจากฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติหรือการดื้ออินซูลิน โดยทั่วไปคนปกติจะมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารอยู่ที่ 70-100 มก./ดล. และหลังรับประทานอาหารเข้าไปควรมีค่าไม่เกิน 140 มก./ดล.

โดยโรคเบาหวาน แบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่

  1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกิดจากการขาดอินซูลินเพราะเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย มักพบในเด็ก
  2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM) เป็นชนิดที่พบมากที่สุด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย
  3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และมักหายไปหลังคลอด
  4. โรคเบาหวานชนิดมีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น

 

สาเหตุอะไรบ้าง ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน

  1. กรรมพันธุ์
  2. โรคอ้วน
  3. พฤติกรรมการกิน
  4. อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  5. การตั้งครรภ์
  6. ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาบางชนิด
  7. ความผิดปกติของตับอ่อน
  8. ความเครียด

 

แล้วอาการแบบไหนที่บอกว่าเรากำลังเป็นโรคเบาหวาน

  1. ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  2. คอแห้ง กระหายน้ำมาก
  3. หิวบ่อย
  4. น้ำหนักลดลง โดยไม่ทราบสาเหตุ
  5. อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
  6. แผลหายช้า
  7. สายตาพร่ามัว

 

เมื่อมีอาการข้างต้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโรคเบาหวานต่อไป โดยวิธีการวินิจฉัยส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 3 วิธี ได้แก่

  1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งการวินิจฉัยรูปแบบนี้สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านง่าย ๆ ด้วยเครื่องตรวจระดับน้ำตาลเลือด โดยการเจาะเลือดผ่านปลายนิ้วเพียงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ชุดตรวจน้ำตาล GlucoNavii Pro หรือ ชุดตรวจน้ำตาล GlucoDr. Auto AGM4000
  2. การตรวจความทนต่อกลูโคส ด้วยการดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดใน 2 ชั่วโมง 
  3. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) โดยจะใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการในการตรวจวินิจฉัย เช่น เครื่องตรวจวัดปริมาณน้ำตาลสะสมในเลือด GREENCARE A1c 1 Step

 

ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมให้ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ด้วยวิธีการดังนี้

  1. การควบคุมอาหาร เลือกรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  3. การใช้ยา ในผู้ป่วยบางราย

 

โรคเบาหวานเป็นภัยเงียบที่ป้องกันได้ การตระหนักถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการควบคุมโรค จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การให้ความสำคัญกับสุขภาพในที่ทำงานและการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันจึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับคำขวัญทำงานสุข ลดทุกความเสี่ยง สุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน

 

 

 

 

 

แหล่งอ้างอิง

  1. ผศ.พญ. พิมพ์ใจ อันทานนท์. โรคเบาหวาน คืออะไร. https://www.dmthai.org/new/index.php/sara-khwam-ru/sahrab-bukhkhl-thawpi/health-information-and-articles/health-information-and-articles-2561/2018-diabates-31.
  2. พญ. ศศิภัสช์ ช้อนทอง. โรคเบาหวาน (Diabetes). https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/diabetes-mellitus.
  3. คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยามหิดล. โรคเบาหวาน (Diabetes). https://mt.mahidol.ac.th/wp-content/uploads/home/main/health-brochure/2019/pdf/6.pdf.